Header Ads

Breaking News

ตำรวจภูธรภาค 1 แถลงผลจับยาเสพติดรายสำคัญ มูลค่า 150 ล้าน ทำลายเครือข่าย “นักขนยาเสพติดตะวันออก”, คดีที่ 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติการล้มคอกม้า : บก.สส.ภ.1 ยึดเงินกว่า 8 แสน


วันที่ 4 พ.ย.68 เวลา 09.30 น. พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผบช.ภ.1 พร้อมคณะฯ พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.ภัคพงศ์ สายอุบล ผบก.อก.ภ.1, พล.ต.ต.วรชาติ แสนคำ ผบก.สส.ภ.1 ภ.จว.สระบุรี, พล.ต.ต.ธรรมนูญ เชาวะวนิชย์ ผบก.ภ.จว.สระบุรี, พ.ต.อ.เกษดา วัชรานนท์ รอง ผบก.ภ.จว.สระบุรี, พ.ต.อ.ไกรสร ศรีอำพร ผกก.สส.ภ.จว.สระบุรี/หัวหน้า ชปส.ศอ.ปส.ภ.1 ชุดที่ 2, พ.ต.อ.พุฒิพงศ์ อินธาระ ผกก. (สอบสวน) บก.สส.ภ.1 ชุดขยายผลยาเสพติด ศอ.ปส.ภ.1  ขกท., พล.ต.อภิชัย ทองธรรมชาติ ผบ.ขกท.  ขกท.ศปก.นสศ., พ.อ.ศรายุทธ พัฒนชัย ผบ.ขกท.ศปก.นสศ. สำนักงาน ป.ป.ส. ภาค 1 นายอำนาจ เหล่ากอที ผอ.ปปส.ภ.1, นางสาวปิยมาพร นามวงษ์ ผอ.บก.ปปส.ภ.๑ และเจ้าหน้าที่ในสังกัด ได้ร่วมกันสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่ทำหน้าที่จัดเก็บและลำเลียงยาเสพติดกลุ่ม “นักขนยาเสพติดตะวันออก” 
ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมยาเสพติดรายสำคัญ มูลค่า 150,000,000 บาท ณ ห้องประชุมอมรวิวัฒน์  ตำรวจภูธรภาค 1 

จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย คือ 1.นายภาณุวัฒน์หรือน๊อต อายุ 28 ปี ภูมิลำเนา ต.หนองเหียง อ.พนัสนิคม จว.ชลบุรี ผู้ต้องหาที่ 1 และ 2.นายดนุพลหรือมอส อายุ 25 ปี ภูมิลำเนา ต.หนองเหียง อ.พนัสนิคม จว.ชลบุรี ผู้ต้องหาที่ 2  พร้อมของกลาง 1.คีตามีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 รวมน้ำหนักประมาณ 300 กิโลกรัม,  2.รถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ ดีแม็ก สีขาว ที่ใช้ลำเลียงยาเสพติด จำนวน 1  คัน3.โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้ในการติดต่อซื้อขายยาเสพติด  จำนวน 2  เครื่อง

พฤติการณ์ในการจับกุม สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้สืบสวนขยายผลจากการจับกุมนายสุรัตน์ กับพวก รวม 3 คน พร้อมยาบ้า 60,000 เม็ด ที่บริเวณสะพานต่างระดับสิงห์ใต้ หมู่ 2 ต.ม่วงหมู่ อ.เมืองสิงห์บุรี จว.สิงห์บุรี เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.68 จนทราบว่ามีกลุ่มของนายภาณุวัฒน์หรือน๊อต ผู้ต้องหาที่ 1 เคยจัดส่งยาเสพติดให้กลุ่มของนายสุรัตน์ จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ได้สั่งการให้สืบสวนติดตามกลุ่มของนายภานุวัฒน์หรือน็อต ผู้ต้องหาที่ 1 อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเมื่อวันที่ 2 พ.ย.68 เวลาประมาณ 21.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมพบนายภานุวัฒน์หรือน็อต ผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถยนต์ของกลางที่ตรวจยึดได้ออกจากพื้นที่พักอาศัยมุ่งหน้าไปทาง จว.สุพรรณบุรี เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ติดตามไป จนกระทั่งพบว่า นายภานุวัฒน์หรือน็อต ผู้ต้องหาที่ 1 ไปรับยาเสพติดของกลางมาจากพื้นที่ อ.ท่าม่วง จว.กาญจนบุรี แล้วขับรถกลับมุ่งหน้าไปทาง จว.ฉะเชิงเทรา โดยใช้เส้นทางถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฝั่งใต้ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงติดตามมา
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 3 พ.ย.68 เวลาประมาณ 01.30 น. เมื่อนายภาณุวัฒน์หรือน็อต ผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถมาถึง
บริเวณถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฝั่งใต้ กม.11+900 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงเข้าสกัดจับรถยนต์ของกลางที่นายภาณุวัฒน์หรือน็อต ผู้ต้องหาที่ 1 ขับมา โดยภายในรถมีนายดนุพลหรือมอส ผู้ต้องหาที่ 2 นั่งมาด้วย จากการสอบถามนายภาณุวัฒน์หรือน็อต ผู้ต้องหาที่ 1และนายดนุพลหรือมอส ผู้ต้องหาที่ 2 ยอมรับว่าได้ไปรับยาเสพติดของกลางที่ตรวจยึดได้มาจริง และกำลังจะนำไปส่งให้กับผู้รับในพื้นที่ อ.แปลงยาว จว.ฉะเชิงเทรา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อหาให้นายภาณุวัฒน์หรือน็อต ผู้ต้องหาที่ 1 และ นายดนุพลหรือมอส ผู้ต้องหาที่ 2 ทราบว่ากระทำผิดฐาน “ร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 (คีตามีน) โดยผิดกฎหมาย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า และก่อให้เกิดการแพร่กระจายในหมู่ประชาชน
"  
สถานที่เกิดเหตุ  ถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฝั่งใต้ กม.11+900 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 พ.ย.68 เวลาประมาณ 01.30 น.

การจับกุมในครั้งนี้ เป็นการระงับยับยั้งการแพร่กระจายยาเสพติดไปสู่ประชาชนได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งยาเสพติดของกลางน้ำหนักรวมจำนวน 300 กิโลกรัม หากถูกนำออกขายสู่ท้องตลาดจะมีมูลค่ากว่า 150,000,000 บาท 

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจะได้ขยายผลถึงกลุ่มลูกค้า ผู้สั่งการ และบุคคลในเครือข่ายยาเสพติด รวมถึงทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิด โดยจะนำมาตรการสมคบ สนับสนุนช่วยเหลือ ฟอกเงิน และยึดทรัพย์สิน มาใช้ดำเนินการกับบุคคลในเครือข่ายยาเสพติดต่อไป

ตำรวจภูธรภาค 1 ขอประชาสัมพันธ์ประชาชน หากพบบุคคล รถต้องสงสัย หรือมีข้อมูลการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด สามารถติดต่อให้ข้อมูลได้ที่สถานีตำรวจที่ท่านสะดวก หรือ สายด่วน 191 และ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำข้อมูลดังกล่าวไปสืบสวนขยายผลจับกุมผู้กระทำผิดต่อไป












คดีที่ 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติการล้มคอกม้า : บก.สส.ภ.1 ยึดเงินสดกว่า 8 แสน

ตามที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ได้ลงนามแต่งตั้ง “คณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” ตามคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 341/2568 โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ร่วมเป็นคณะกรรมการ โดยมี พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. , พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง จตช./รอง ผอ.ศปอส.ตร.  ร่วมขับเคลื่อนการทำงาน เพื่อยกระดับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่มีความซับซ้อน รูปแบบหลากหลาย และเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การพนันออนไลน์ การเผยแพร่ข่าวปลอม รวมถึงการฟอกเงินโดยการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล จนนำมาสู่ผลการปฏิบัติในครั้งนี้

ระหว่างวันที่ 1-2 พฤศจิกายน 2568 ตำรวจภูธรภาค 1 โดย พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน  ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.ภาณุเดช สุขวงศ์ รอง ผบช.สง.ก.ตร.ปฏิบัติราชการ ภ.1, พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.วรชาติ แสนคำ ผบก.สส.ภ.1, พ.ต.อ.พีรศักดิ์ รอดบน รอง ผบก.สส.ภ.1, พ.ต.อ.มณเทียร เบ้าทอง รอง ผบก.ปฏิบัติราชการ บก.สส.ภ.1, พ.ต.อ.วิศิษฏ์ มะอักษร รอง ผบก.สส.ภ.1, พ.ต.อ.วิทิต จันทร์เอี่ยม รอง ผบก.สส.ภ.1 , พ.ต.อ.ชินโชติ วัฒนธนานพ ผกก.สส.3 บก.สส.ภ.1

นำการปฏิบัติการโดย พ.ต.อ.ประธาน นันทกอบกุล รอง ผบก.สส.ภ.1, พ.ต.อ.นัฎฐพงษ์ ศรีเพ็ญประภา ผกก.สส.2 บก.สส.ภ.1, พ.ต.อ.นภธร วาชัยยุง ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.ภ.1 , พ.ต.อ.พูนสุข เตชะประเสริฐพร ผกก.สส.1 บก.สส.ภ.1, พร้อมกำลังข้าราชการตำรวจ  กก.สส.1 , กก.สส.2 , กก.สส.3 และ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.ภ.1

ได้ทำการสืบสวนกลุ่มเครือข่ายคนไทยที่เป็นผู้จัดหาบัญชีม้าและฟอกเงิน ที่เป็นเครือข่ายฟอกเงินให้กลุ่ม scammer โดยได้ทำการสืบสวนจนทราบว่ามีกลุ่มบุคคลมีพฤติกรรมรวมตัวกันเป็นกลุ่ม จัดหาบัญชีม้าเพื่อรับเงินจากกลุ่มแก๊งอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์ระหว่างประเทศ โดยมีหัวหน้าชาวจีนคอยสั่งการหญิงชาวไทยให้รวบรวมจัดหากลุ่มบุคคลที่จะรับโอนเงินจากการหลอกลวง นำเงินดังกล่าวมาฟอกด้วยวิธีการนำเงินสดไปและเปลี่ยนเป็นเงินสกุลคริปโตเคอเรนซี่ แล้วส่งต่อกลับคืนไปให้หัวหน้าชาวจีน โดยกลุ่มคอกม้าจะได้เงินเป็นเปอร์เซ็นของการกดเงิน ได้เป็นค่าตอบแทน จึงได้ทำการสืบสวนเรื่อยมาจนกระทั่งนำไปสู่การสะกดรอย เฝ้าสังเกตการณ์ และนำไปสู่การตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาและตรวจยึดของกลาง ในสถานที่ต่างๆ ดังนี้

1.หมู่บ้านรัตนาธิเบศร์ ซ.หมู่บ้านรัตนาธิเบศร์ 2/1 ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จว.นนทบุรี  2.คอนโด ถ.รัตนาธิเบศร์ ต.ไทรม้า อ.เมืองนนทบุรี จว.นนทบุรี  3.ห้างสรรพสินค้าย่านลาดพร้าว  4.โรงแรม แขวงรัชดา เขตดินแดง กรุงเทพฯ

โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมดจำนวน 8 คน โดยมีฐานความผิดแตกต่างกันตามพฤติกรรมความผิด ดังนี้

1.ร่วมกันเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย กระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่และสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเป็นซ่องโจร หรือร่วมกันประชุมในที่ประชุมอั้งยี่หรือซ่องโจร

2.ร่วมกันเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่าหรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด

3.เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด

4.ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันฟอกเงิน

กลุ่มผู้ต้องหาประกอบด้วย กลุ่มผู้ควบคุมและสั่งการ (หัวหน้า/ผู้บริหารเครือข่าย) 1.น.ส.ภูชิษา (แจ๋ว/เบล) อายุ 43 ปี ควบคุมสั่งการ เลือกบัญชีธนาคารให้กลุ่มจีนใช้รับเงิน และรับเงินสดจากผู้ร่วมขบวนการ เพื่อนำไปส่งให้นายทุนชาวจีน

กลุ่มจัดหา-ควบคุมบัญชีม้า  2.น.ส.ศศิธร (บุ๋ม) อายุ 38 ปี กดเงิน-รวบรวมเงินสดส่งให้ น.ส.ภูชิษาฯ,  3.นายอดิศักดิ์ (หนุ่ม) อายุ 38 ปี จัดหาบัญชีธนาคารให้ใช้เป็นบัญชีม้าให้กับ น.ส.ศศิธรฯ และควบคุมบัญชีม้าที่โรงแรม,  4.นายเพชร  อายุ 30 ปี   ควบคุมเจ้าของบัญชีม้า นัดหมายและพาไปตามจุดถอนเงิน

กลุ่มผู้มอบบัญชีให้ผู้อื่นใช้ (เจ้าของบัญชีม้า)  5. น.ส.ฐญามน อายุ 47 ปี บัญชีม้า-ถอนเงินสดแล้ว,  6.นายไชยเชฏฐ์ อายุ 53 ปี บัญชีม้า,  7.นายสีชาย อายุ 44 ปี บัญชีม้า,  8.นายดนุพล อายุ 27 ปี บัญชีม้า

จากการปฏิบัติการสามารถตรวจยึดของกลางได้ ดังนี้  1.เงินสด จำนวน 846,800 บาท  2.บัญชีธนาคาร จำนวน 13 บัญชี  3.บัตรกดเงินสด จำนวน 14 ใบ  4.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 18 เครื่อง  5.ซิมโทรศัพท์มือถือ จำนวน 23 ซิม , 6.เครื่องนับธนบัตร จำนวน 1 เครื่อง

จากการซักถามทราบว่ากลุ่มคอกม้าที่ถูกจับกุมได้ย้ายฐานสแกนหน้าจากประเทศกัมพูชามาดำเนินการในประเทศไทยตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 เนื่องจากปัญหาแนวชายแดน โดยเฉลี่ยแล้วจะถอนเงินสดนำส่งให้ผู้จ้างวานในวงเงินประมาณ 1-2 ล้านบาท ต่อวัน จะได้ค่าตอบแทนเหมารวมร้อยละ 4 ของยอดถอนเงิน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท นอกจากนี้จากการสืบสวนขยายผลพบว่า กลุ่มผู้ต้องหามีการส่งผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิดกลับไปยังนายทุนชาวจีน โดยใช้วิธีการให้คนไทยนำเงินสดไปแลกเหรียญดิจิทัล จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาจะโอนเหรียญดิจิทัลกลับไปให้นายทุนชาวจีน ซึ่งจะได้ทำการสืบสวนขยายผลต่อไป

จากการปฏิบัติการดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนจาก WARROOM PCT ตร.ในการตรวจสอบเส้นทางการเงิน และประสานติดตามผู้เสียหาย โดยในเบื้องต้นตรวจสอบพบว่า มีผู้เสียหายโอนเงินมายังกลุ่มคอกม้านี้ในวันที่ 2 พ.ย.2568 และได้ถอนเงินที่ได้จากหลอกลวงออกมาที่ห้างย่านลาดพร้าว คือ  1.นายชาญวิทย์ ตรวจยึดเงินไว้ได้ 160,000 บาท ประสานเข้าแจ้งความที่ สภ.พนมทวน จว.กาญจนบุรี,  2.นายอนุกูล ตรวจยึดเงินไว้ได้ 29,700 บาท ประสานเข้าแจ้งความที่ สภ.หัวหิน จว.ประจวบคีรีขันธ์,  3.น.ส.สิริย์ปัญญา ตรวจยึดเงินไว้ได้ 20,000 บาท ประสานเข้าแจ้งความที่ สภ.บางศรีเมือง จว.นนทบุรี,  4.นางนิดานาถ ตรวจยึดเงินไว้ได้ 45,531 บาท ประสานเข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองแพร่ จว.แพร่,  5. นางปิยะกร ตรวจยึดเงินไว้ได้ 12,000 บาท ประสานเข้าแจ้งความที่ สน.นิมิตรใหม่ จว.กรุงเทพฯ,  6.น.ส.พัทธนันทน์  ตรวจยึดเงินไว้ได้ 45,000 บาท ประสานเข้าแจ้งความที่ สภ.วาปีปทุม จว.มหาสารคาม

ตำรวจภูธรภาค 1 โดย บก.สส.ภ.1 จะได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินในรายอื่นๆประสานการคืนเงิน (Money cash back) ให้กับผู้เสียหาย ต่อไป

ทีมข่าวอาชญากรรม...รายงาน













ไม่มีความคิดเห็น