Header Ads

Breaking News

ตำรวจไซเบอร์ ทลายเครือข่ายหลอกลงทุน Turtle fram โรงเพาะเห็ด ปลูกกัญชา พืชกระท่อม เลี้ยงผึ้ง ผู้เสียหายกว่า 2,000 ราย เสียหายรวม 1,200 ล้าน


ตำรวจไซเบอร์ ทลายเครือข่ายหลอกลงทุน
Turtle fram โรงเพาะเห็ด ปลูกกัญชา พืชกระท่อม เลี้ยงผึ้ง ผู้เสียหายกว่า 2,000 ราย เสียหายรวม 1,200 ล้าน

 

ตำรวจไซเบอร์ ทลายเครือข่ายคดีหลอกลงทุน Turtle Farm ล่าสุดพบเหยื่อแจ้งความออนไลน์แล้วมากกว่า 2.000 ราย มูลค่าความเสียหายประมาณ 1,200 ล้านบาททั้งนี้พบว่ามีเหยื่อบางรายยังหลงเชื่อไม่แจ้งความ

 

เมื่อวันที่ 5 ส.ค.65 เวลาประมาณ 10.00 น. กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทาง

เทคโนโลยี (บช.สอท.) ภายใต้การนำของ พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญ

ลักษม์ รอง ผบช.สอท.. พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รอง ผบช.สอท.. พล.ต.ต.มนเทียร พันธ์อิ่ม รอง ผบช.สอท..

พล.ต.ต.รณชัย จินดามุข ผบก.สอท. 1, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง ผบก.สอท.3 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

ร่วมกันแถลงข่าวกรณีการทลายเครือข่ายหลอกลงทุน Turtle Farm เจ้าหน้าที่ตรวจค้น และจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ มีรายละเอียดดังนี้

 

ก่อนเกิดเหตุเมื่อประมาณเดือน พ.ย.64 ผู้ต้องหากับพวก ได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัทฯ โดยได้สร้างโรงเพาะเห็ดขึ้นมาหลายโรง ในพื้นที่ อ.เมือง จ.สกลนคร ไว้เพื่อหลอกลวงชักชวนประชาชนให้มาร่วมลงทุนต่างๆ ได้แก่ การเพาะปลูกเห็ดเยื่อไผ่ ปลูกกัญชา พืชกระท่อม และเลี้ยงผึ้ง ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ โดยอ้างว่าผู้ที่เข้าร่วมลงทุนจะได้ผลตอบแทนเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง แต่มีเงื่อนระยะเวลาในการลงทุน เช่น หากลงทุนเป็นจำนวนเงิน 132,000 บาท จะได้รับผลตอบแทนหลังจากลงทุนไปแล้ว 4 เดือน ในอัตราเดือนละ 53,200 บาท ทุกๆ เดือน เป็นระยะเวลา 7 ปี โดยมีการสร้างความน่าเชื่อถือโดยการทำสัญญาระหว่างผู้ร่วมลงทุนกับผู้ต้องหา มีการใช้บุคคลสำคัญ หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงมาร่วมโฆษณาชักชวน มีการสร้างภาพว่าฟาร์มดังกล่าวได้รับรางวัล ทำให้ผู้เสียหายรายหลายหลงเชื่อ และนำเงินมาร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก ซึ่งในบางรายเป็นเงินเก็บก้อนสุดท้าย บางรายต้องเอาทรัพย์สินไปจำนองเพื่อให้ได้เงินมาลงทุน ถือว่าเป็นการซ้ำเดิมความเดือดร้อนของพี่น้องประซาชน

 

ต่อมาผู้ต้องหากับพวกอ้างเหตุขัดข้องต่างๆ ไม่สามรถจ่ายผลตอบแทนให้กับผู้เสียหายได้ และไม่สามารถติดต่อได้ในเวลาต่อมา ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกหลอกลวง จึงมาแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามกฎหมาย

 

กระทั่งเมื่อวันที่ 2 ส.ค.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท.ได้สืบสวนสอบสวนและรวมพยานหลักฐานต่างๆ

ที่เกี่ยวข้อง ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดสกลนคร ขออนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 8 ราย ในข้อหา "1.

ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 (มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน

100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ), 2.กู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน ตาม พรก.การกู้ยืมเงินอันเป็นการ

ฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 3, 4. 5, 12 (มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี-10 ปี ปรับตั้งแต่ 500,000 บาท

-1,000,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่) 3.และนำเข้าสู่ระบบ

คอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่พี่น้องประชาชน "ตาม พ.ร.บ.

คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) (มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

 

ผลการปฏิบัติที่ผ่านมาสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 3 ราย คือ ผู้ต้องหาหญิง 3 ราย ในระหว่างวันที่ 3-4 ส.ค.65 ในพื้นที่ อ.เมือง จ.สกลนคร ตรวจยึดของกลางภายในบริษัท และบ้านผู้ต้องหากว่า 200 รายการ นอกจากนี้แล้วยังได้รับรายงานเพิ่มเดิมว่าในวันนี้จะมีผู้ต้องหาอีก 1 ราย ขอเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อมอบตัว

 

ส่วนกรณีที่ผู้ต้องหาที่หลบหนีออกนอกราชอาณาจักร จะมีหนังสือแจ้งไปยังกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อที่จะประสานกับองค์การตำรวจสากล (INTERPOL) ดำเนินการประกาศตำรวจสากลสีแดง หรือ INTERPOL Red Notice ให้ติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมระบุที่หมายแจ้งไปยังประเทศสมาชิกองค์การตำรวจสากล ทั้ง 194 ประเทศ เพื่อให้ทราบว่าบุคคลดังกล่าว เป็นบุคคลที่ทางการไทย ต้องการตัวกลับมาดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของไทยต่อไป

 

อนึ่ง จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหารายสำคัญ เคยก่อเหตุมาแล้วในหลายคดี มีการเปลี่ยนแปลงซื่อนามสกุลตนเองหลายครั้ง และมีการเปลี่ยนแปลงตำหนิรูปพรรณตนเองเพื่อสะดวกในกระทำความผิด หรือเพื่อการหลบหนีอีกด้วย

 

ทั้งนี้ การปฏิบัติการของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.,) ยังคงมุ่งเน้นที่จะ ดำเนินการปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม คำนึงถึงความเดือดร้อน และการอำนวยความยุติธรรมของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ








ไม่มีความคิดเห็น